เมนู

พราหมณ์ ที่ตนจงให้ทรัพย์ของท่านได้แต่
เพียงนี้ วางใกล้เท้า แล้วจงรับเอาไปยังที่อยู่
ของท่านเถิด.

จบ เสนกชาดกที่ 7

อรรถกถาเสนกชาดกที่ 7



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระปัญญาบารมีของพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า วิพฺภนฺต-
จิตฺโต
ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีแจ่มแจ้งในอุปมังคชาดก.
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ชนก ครองราชสมบัติ
อยู่ในนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์.
เหล่าญาติได้ขนานนามท่านว่า เสนกะ. ท่านเติบโต แล้วเรียนศิลปะ
ทุกอย่างที่เมืองตักกศิลา แล้วกลับมาเฝ้าพระราชาที่นครพาราณสี. พระ-
ราชาทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งอำมาตย์ และทรงเพิ่มยศยิ่งใหญ่
ให้ท่าน. ท่านได้ถวายอรรถธรรมแก่พระราชาเนื่อง ๆ. ท่านเป็นผู้สอน
ธรรมที่มีถ้อยคำไพเราะ ให้พระราชาทรงดำรงอยู่ในเบญจศีล แล้วให้
ทรงดำรงอยู่ในปฏิปทาที่ดีงามนี้ คือในทาน ในอุโบสถกรรม และใน
ศีลธรรมบถ 10 ข้อ. สมัยนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่พระพุทธเจ้า
เสด็จอุบัติขึ้นในสากลรัฐ. พระมหาสัตว์ไปที่ท่ามกลางแท่นที่อบอวล

ไปด้วยของหอม ในธรรมสภาที่เขาเตรียมไว้แล้ว ก็แสดงธรรมด้วย
พุทธลีลา. ธรรมกถาของท่านเป็นเช่นกับธรรมกถาของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายก็ปานกัน. ลำดับนั้น พราหมณ์ชราคนหนึ่งเที่ยวหาขอเงิน
ได้เงินพันกหาปณะ เก็บฝากไว้ที่ตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง แล้ว
คิดว่า เราจะเที่ยวขออีก ดังนี้ แล้วก็ไป. ในเวลาพราหมณ์นั้นไปแล้ว
ตระกูลนั้นใช้กหาปณะหมด. พราหมณ์นั้นกลับมา แล้วขอกหาปณะ
คืน. พราหมณ์ไม่อาจจะให้กหาปณะคืนได้ จึงได้ให้ธิดาของตนให้เป็น
นางบำเรอบาท คือเมียของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์พานางไปอยู่กินกัน
ที่หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลจากนครพาราณสี. คราที่นั้น ภรรยา
ของเขาผู้ไม่อิ่มในกาม เพราะยังสาว จึงประพฤติมิจฉาจาร คือเป็นชู้
กับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง. เพราะว่า ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี
16 อย่าง คือ :-
1. มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง.
2. ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ.
3. พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ.
4. คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป.
5. หญิงไม่อิ่มด้วยของ 3 อย่างเหล่านี้ คือ เมถุนธรรม 1
เครื่องประดับ 1 การคลอดบุตร 1.
6. พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์.

7. ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน.
8. พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน.
9. ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ.
10. ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร.
11. ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม.
12. ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท.
13. ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์.
14. ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค.
15. บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม.
16. บริษัท 4 ไม่อิ่มในการเฝ้าพระพุทธเจ้า.
ถึงนางพราหมณีนั้น ก็ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม ต้องการจะสลัด
พราหมณ์นั้นให้ออกไป แล้วทำบาปกรรม วันหนึ่ง นอนกลุ้มใจอยู่
เมื่อพราหมณ์ถามว่า แม่มหาจำเริญ มีเรื่องอะไรหรือ ? จึงพูดว่า
พราหมณ์เจ้าขา ฉันไม่อาจจะทำงานในบ้านของท่าน คือทำไม่ไหว
ขอท่านจงไปนำเอาทาสหญิง ทาสชายมา.
พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ทรัพย์ของเราไม่มี ฉันจะให้
อะไรเขา แล้วจึงจะนำทาสหญิงทาสชายมาได้.
พราหมณ์ เที่ยวขอเสาะหาทรัพย์ แล้วนำมาสิ.

พราหมณ์ แม่มหาจำเริญ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเตรียมสะเบียง
ให้ฉัน.
นางจึงเตรียมข้าวตูก้อนข้าวตูผง บรรจุเต็มไถ้หนังแล้ว ได้มอบ
ให้พราหมณ์ไป. ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเที่ยวไปในหมู่บ้านนิคมและราชธานี
ทั้งหลาย ได้เงิน 700 กหาปณะ เห็นว่า พอแล้ว เงินเท่านี้สำหรับเรา
เพื่อเป็นค่าทาสชายและทาสหญิง แล้วก็กลับมาบ้านของตน มาถึงที่
แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่มีน้ำสะดวกสบาย จึงแก้ไถ้ออกกินข้าวตู แล้ว
ไม่ได้ผูกปากไถ้เลย ลงไปดื่มน้ำ. งูเห่าหม้อตัวหนึ่ง ได้กลิ่นข้าวตู จึง
เลื้อยเข้าขดตัวนอนกินข้าวตูอยู่. พราหมณ์มาแล้ว ไม่ได้มองดูภายใน
ไถ้ ผูกไถ้แล้วแบกขึ้นบ่าไป. เทวดาผู้เกิดบนต้นไม้ต้นหนึ่ง ในระหว่าง
ทางยืนอยู่ที่ค่าคบต้นไม้ พูดว่า ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านพักระหว่างทาง
ท่านจักตายเอง แต่ถ้าวันนี้ ท่านไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านจักตาย
แล้วก็หายไป. เขามองดูอยู่ไม่เห็นเทวดา กลัวถูกภัย คือความตาย
คุกคาม จึงร้องไห้คร่ำครวญไปถึงประตูพระนครพาราณสี. ก็วันนั้น
เป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำ เป็นวันที่พระโพธิสัตว์นั่งแสดงธรรมบน
ธรรมาสน์ที่เขาตกแต่งแล้ว มหาชนพากันถือของหอมและดอกไม้เดิน
ไปฟังธรรมกถากันเป็นพวก ๆ. พราหมณ์เห็นเขา จึงถามว่า ท่าน
ทั้งหลายไปไหนกัน พ่อคุณ ? เมื่อเขาบอกว่า ดูก่อนพราหมณ์ วันนี้
เสนกบัณฑิตจะแสดงธรรมด้วยเสียงไพเราะตามพุทธลีลา ท่านไม่รู้

หรือ ? จึงคิดว่า ได้ทราบว่า ท่านผู้แสดงธรรม ธรรมกถึกเป็นบัณฑิต
ส่วนเราถูกมรณภัยคุกคาม ก็แหละผู้เป็นบัณฑิตอาจจะบรรเทาความโศก
ตั้งมากมายได้. แม้เราก็ควรไปฟังธรรม ณ ที่นั้น. เขาจึงไปที่นั้นกับ
มหาชนนั้น กลัวความตาย ได้ยินร้องไห้อยู่ท้ายบริษัทที่มีพระราชา
นั่งห้อมล้อมพระมหาสัตว์อยู่แล้วไม่ไกลจากธรรมาสน์ ทั้ง ๆ ที่ไถ้
ข้าวตูยังพาดอยู่ที่ต้นคอ. พระมหาสัตว์แสดงธรรมเหมือนกับให้ข้าม
อากาศคงคาและเหมือนกับหลั่งฝนอมฤตลง. มหาชนเกิดความโสมนัส
ให้สาธุการได้ฟังธรรมกันแล้ว. ก็ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลาย เป็นผู้มองดู
ทิศทาง ในขณะนั้น พระมหาสัตว์ลืมตาที่มีประสาททั้ง 5 ผ่องใสขึ้น
ดูบริษัทโดยรอบ เห็นพราหมณ์นั้น จึงคิดว่า บริษัทจำนวนเท่านี้
เกิดความโสมนัสให้สาธุการฟังธรรมกัน. แต่พราหมณ์คนนี้คนเดียว
ถึงความโทมนัสร้องไห้. พราหมณ์นั้นต้องมีความเศร้าโศกอยู่ในภายใน
ที่สามารถให้น้ำตาเกิดขึ้นแน่ ๆ. เราจักพลิกใจพราหมณ์ผู้มืดมนต์ แสดง
ธรรมให้เขาไม่มีความโศกให้พอใจในเรื่องนี้ทีเดียว เหมือนสนิมทอง-
แดงหลุดออกไปเพราะขัดด้วยของเปรี้ยว และเหมือนหยดน้ำกลิ้งออก
ไปจากใบบัวฉะนั้น. ท่านได้เรียกพราหมณ์นั้นมาหา เมื่อเจรจากับ
พราหมณ์นั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราชื่อว่า เสนกบัณฑิต เราจักทำ
ให้ท่านไม่มีความเศร้าโศก ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกมาเถิด จึงกล่าว
คาถาแรกว่า :-

ท่านหัวเสีย มีอันทรีย์ คือนัยตาโรยแล้ว
น้ำตาไหลจากตาของท่านทั้ง 2 ข้าง. ท่านสูญ
เสียอะไรไป ก็ท่านต้องการอะไร จึงมาที่นี่
เชิญเถิด. เชิญบอกให้เราทราบเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุปิตินฺทฺริโยสิ ความว่า พระ-
มหาสัตว์พูดว่า ท่านมีอินทรีย์โรยแล้ว หมายถึงจักขุนทรีย์นั่นเอง.
ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในความหมายตักเตือน. จริงอยู่ พระ-
มหาสัตว์ เมื่อจะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อน
พราหมณ์ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเศร้าโศกคร่ำครวญกัน เพราะเหตุ
2 ประการ คือ เมื่อสูญเสียญาติที่รักบางคน ในบรรดาสัตว์และสังขาร
ทั้งหลายนั่นเอง หรือปรารถนาญาติที่รักบางคนนั่นเอง แต่ไม่ได้ดัง
ต้องการ. ในจำนวน 2 อย่างนั้น ท่านสูญเสียอิฏฐผลข้อไหน ก็ท่าน
ปรารถนาอะไร จึงมาที่นี่ ? ขอจงบอกเรื่องนี้แก่เราโดยเร็วเถิด.
ลำดับนั้น พราหมณ์เมื่อจะบอกเหตุแห่งความโศกของตนแก่
พระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ยักษ์รุกขเทวดาบอกว่า วันนี้ เมื่อข้าพเจ้า
ไปถึงบ้านเมียของข้าพเจ้าจะตาย แต่ถ้าข้าพเจ้า
ไปไม่ถึงก็จะมีความตายเอง. ข้าพเจ้าหวาดหวั่น

เพราะทุกข์นั้น ข้าแต่ท่านเสนกะ ขอท่านจง
บอกเหตุนั้นแต่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วชโต ความว่า ไปถึงเรือน. บทว่า
อคจฺฉโต ความว่า เมื่อไปไม่ถึง. บทว่า ยกฺโข ความว่า พราหมณ์
กล่าวว่า รุกขเทวดาตนหนึ่ง ในระหว่างทาง กล่าวอย่างนี้. ได้ทราบว่า
เทวดานั้น ควรจะบอกว่า พราหมณ์ ในไถ้ของท่านมีงูเห่าหม้อ
แต่ไม่บอก เพื่อจะประกาศอานุภาพญาณของพระโพธิสัตว์. บทว่า
เอเตน ทุกฺเขน ความว่า ข้าพเจ้าหวาดหวั่น ดิ้นรน หวั่นไหว
เพราะเหตุนั้น คือ เพราะทุกข์เกิดจากความตายของภรรยา เมื่อไปถึง
บ้าน และทุกข์ คือความตายของตน เมื่อไปไม่ถึงบ้าน. บทว่า เอตมตฺถํ
มีอธิบายว่า ขอท่านจงบอกข้าพเจ้าถึงเหตุนั้น คือเหตุที่เป็นเหตุให้
ภรรยาของข้าพเจ้ามีความตาย เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน และที่เป็นเหตุ
ทำให้ตนมีความตาย เมื่อไปไม่ถึงบ้าน.
พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของพราหมณ์ แล้วจึงแผ่ข่ายญาณไป
เหมือนเหวี่ยงแหลงในน่านน้ำทะเล คิดแล้วว่า เหตุแห่งการตายของ
สัตว์เหล่านี้มีมาก คือจมทะเลไปบ้าง ถูกปลาร้ายในทะเลนั้นคาบไปบ้าง
ตกลงไปในน้ำบ้าง ถูกจระเข้ในแม่น้ำนั้นคาบไปบ้าง ตกต้นไม้บ้าง ถูก
หนามแทงบ้าง ถูกประหารด้วยอาวุธนานาประการบ้าง กินยาพิษเข้า
ไปบ้าง ปีนขึ้นภูเขาแล้วตกลงไปในเหวบ้าง หรือถูกโรคนานาประการ

มีหนาวจัดเป็นต้น เบียดเบียนบ้าง ตายเหมือนกันทั้งนั้น. เมื่อเหตุแห่ง
การตายมีมากอย่างนี้. ด้วยเหตุอะไรหนอแล วันนี้พราหมณ์นั้น เมื่อ
อยู่ระหว่างทางจึงจักตายเอง แต่เมื่อไปถึงบ้านภรรยาของเขาจักตาย.
และเมื่อกำลังคิดอยู่ได้มองเห็นไถ้อยู่บนคอของพราหมณ์ ก็รู้ได้ด้วย
ญาณ คือความฉลาดในอุบายว่า ในไถ้นี้คงมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปอยู่
ข้างใน. ก็แหละเมื่อจะเลื้อยเข้าไป มันคงจะเลื้อยเข้าไปเพราะกลิ่น
ข้าวตู ในเมื่อพราหมณ์คนนี้กินข้าวตู ในเวลาอาหารเช้าไม่ได้ผูกปาก
ไถ้ไว้เลย แล้วไปดื่มน้ำ. พราหมณ์ดื่มน้ำ แล้วมาไม่ทราบว่างูเข้าไป
อยู่ในไถ้แล้ว คงจักผูกปากไถ้แล้วก็แบกเอาไป. พราหมณ์นี้นั้น เมื่อ
พักอยู่ระหว่างทาง ก็จักแก้ไถ้สอดมือเข้าไป ด้วยตั้งใจว่า เราจักกิน
ข้าวตู สถานที่พักในเวลาเย็น เมื่อเป็นเช่นนั้นงูก็จะกัดมือเขาให้ถึง
ความสิ้นชีวิต นี้คือเหตุแห่งการตายของพราหมณ์ผู้พักอยู่ระหว่างทาง.
แต่ถ้าพราหมณ์ไปถึงบ้านไซร้ ไถ้จักตกถึงมือของภรรยา นางก็จักแก้ไถ้
เอามือล้วง ด้วยตั้งใจว่า จักดูของอยู่ข้างใน. เมื่อเป็นเช่นนั้น งูก็จัก
กัดนางให้ถึงความสิ้นชีพ นี้คือเหตุแห่งการตายของภรรยาของเขาผู้ไป
ถึงเรือนในวันนี้. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้มีความดำรินี้ว่า งูเห่าหม้อ
ตัวนี้กล้าหาญควรปลอดภัย เพราะว่างูตัวนี้ แม้จะกระทบสีข้างใหญ่ของ
พราหมณ์ ก็ไม่แสดงความหวั่นไหวหรือความดิ้นรนของตน. ถึงใน
ท่ามกลางบริษัทชนิดนี้ ก็ไม่แสดงความมีอยู่ของตน. เพราะฉะนั้น
งูเห่าหม้อตัวนี้ที่กล้าหาญ จึงควรปลอดภัย. แม้เหตุการณ์ดังที่ว่ามานี้

พระมหาสัตว์ก็ได้รู้ด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง
เหมือนเห็นด้วยทิพพจักขุ. เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหาสัตว์กำหนดด้วยญาณ
คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบายนั่นเอง เหมือนคนยืนดูงูที่กำลังเลื้อยเข้า
ไปในไถ้ ท่ามกลางบริษัทที่มีพระราชา เมื่อจะแก้ปัญหาของพราหมณ์
จึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
เราคิดค้นหาเหตุหลายอย่าง บรรดาเหตุ
เหล่านี้ เหตุที่เราจะบอกนั่นแหละเป็นของจริง
พราหมณ์ เราเข้าใจว่า งูเห่าหม้อตัวหนึ่ง
ได้เลื้อยเข้าไปอยู่ในไถ้ข้าวตูของท่านผู้ไม่รู้สึก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนิ ฐานานิ ได้แก่เหตุหลาย
อย่าง บทว่า วิจินฺตยิตฺวา ความว่า เป็นเสมือนบรรลุปฏิเวธ ด้วย
สามารถแห่งการคิดทะลุปรุโปร่ง. บทว่า ยเมตฺถ วกฺขามิ ความว่า
บรรดาเหตุเหล่านั้น เราจะบอกเหตุอันใดอย่างหนึ่งแก่ท่าน. ด้วยบทว่า
ตเทว สจฺจํ พระมหาสัตว์แสดงว่า เหตุนั้นนั่นแหละเป็นเรื่องแท้
คือจักเป็นเช่นกับเรื่องที่เห็นด้วยทิพพจักขุ. แล้วจึงบอก. บทว่า มญฺญามิ
ความว่า กำหนด. บทว่า สตฺตุภสฺตํ ได้แก่ ไถ้ข้าวตู. บทว่า อชานโต
ความว่า เราเข้าใจว่า เมื่อท่านไม่รู้อยู่นั่นแหละ งูเห่าหม้อตัวหนึ่ง
เข้าไปแล้ว.

ก็แหละพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงถามว่า พราหมณ์
มีไหมข้าวตูในไถ้ของท่านนั้น ?
พ. มี ท่านบัณฑิต
ม. วันนี้ เวลาอาหารเช้า ท่านนั่งกินข้าวตูละสิ ?
พ. ใช่ ท่านบัณฑิต
ม. นั่ง ที่ไหนล่ะ ?
พ. ที่ควงไม้ ในป่า
ม. ท่านกินข้าวตูแล้ว เมื่อไปดื่มน้ำ ไม่ได้ผูกปากไถ้ล่ะสิ ?
พ. ไม่ได้ผูก ท่านบัณฑิต
ม. ท่านดื่มน้ำแล้วมา ไม่ได้ตรวจดูได้ผูกเลยสิ ?
พ. ไม่ได้ดู ผูกเลย ท่านบัณฑิต
ม. พราหมณ์ เราเข้าใจว่า ในเวลาท่านไปดื่มน้ำ งูเข้าไป
ในไถ้แล้ว เพราะได้กลิ่นข้าวตูของท่าน ผู้ไม่รู้ตัวเลย. ท่านได้มาที่นี้
อย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ให้ยกไถ้ลงวางไว้ท่ามกลางบริษัท แก้ปาก
ไถ้ออก แล้วเลี่ยงไปยืนอยู่ห่างพอควร ถือไม้ท่อนหนึ่งเคาะไถ้ก่อน
ต่อจากนั้น ก็จักเห็นงูเห่าหม้อ แผ่แม่เบี้ย เห่าฟ่อ ๆ เลื้อยออกมา
แล้วหายสงสัย ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคาถาที่ 4 ว่า:-

ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะไถ้ดูเถิด จะเห็น
งูมีลิ้น 2 แฉก พ่นพิษเลื้อยออกมา ท่านจะ
สิ้นความเคลือบแคลงสงสัย ในวันนี้แหละ
ท่านจงแก้ไถ้เถิด ท่านจะเห็นงู.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริสุมฺภ ความว่า จงเคาะ. บทว่า
ปสฺเสลมูคํ ความว่า ท่านจะเห็นงูมีลิ้น 2 แฉก พ่นพิษทางปากที่มี
น้ำลายไหลออกมา. บทว่า ฉินฺทชฺช กงฺขํ วิจิกิจฺฉิตานิ ความว่า
วันนี้ท่านจะตัดความเคลือบแคลงและความสงสัยที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ว่า ใน
ไถ้มีงูหรือไม่มีหนอ เชื่อเราเถิด เพราะคำพยากรณ์ของเราไม่ผิดพลาด
ท่านจะเห็นงูเลื้อยออกมาเดี๋ยวนี้แหละ จงแก้ไถ้เถิด.
พราหมณ์ได้ฟังคำของพระมหาสัตว์ แล้วสลดใจถึงความกลัว
ได้ทำตามนั้น. ฝ่ายงูพอถูกไม้เคาะขนดก็เลื้อยออกจากปากไถ้ เห็นผู้คน
มากมาย จึงได้หยุดอยู่.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 5
ว่า :-
พราหมณ์นั้นสลดใจ ทิ้งไถ้ข้าวตูลง
ท่ามกลางบริษัท ลำดับนั้น งูพิษที่มีพิษร้าย
ได้แผ่แม่เบี้ยเลื้อยออกมา.

ในเวลางูแผ่แม่เบี้ยออกมา คำพยากรณ์ของพระมหาสัตว์ได้เป็น
เหมือนคำพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า. มหาชนพากันชูผ้าขึ้น
เป็นจำนวนพัน. ยกนิ้วขึ้นดีดหมุนไปรอบ ๆ เป็นพัน ๆ ครั้ง. ฝนแก้ว
7 ประการตกลงมา เหมือนลูกเห็บตก. สาธุการก็เป็นไปเป็นจำนวน
พัน ๆ. เสียงดังปานประหนึ่งมหาปฐพีจะถล่มทะลาย. ก็ธรรมดาการแก้
ปัญหาแบบนี้ด้วยพุทธลีลานี้ ไม่ใช่เป็นพลังของชาติ ไม่ใช่เป็นพลัง
ของโคตร ของตระกูล ของประเทศ ของยศและของทรัพย์ทั้งหลาย
แต่เป็นพลังของอะไรหรือ เป็นพลังของปัญญา. ด้วยว่าบุคคลผู้มีปัญญา
เจริญวิปัสสนา แล้วจะเปิดประตูอริยมรรคเข้าอมตมหานิพพานได้ ทะลุ
ทะลวงสาวกบารมีบ้าง ปัจเจกโพธิญาณบ้าง สัมมาสัมโพธิญาณบ้าง.
เพราะว่าบรรดาธรรมทั้งหลายที่จะให้บรรลุอมตมหานิพพาน ปัญญา
เท่านั้นประเสริฐที่สุด ธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นเพียงบริวารของปัญญา.
เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า :-
ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแล
ประเสริฐที่สุด เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่า
ดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีลก็ดี แม้สิริก็ดี
ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งคล้อย
ตามผู้มีปัญญา.

ก็แล เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวแก้ปัญหาอย่างนี้ แล้วหมองูคนหนึ่ง
ก็ใส่กุญแจปากงู แล้วก็จับงูไปปล่อยในป่า. พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระราชา
ให้พระองค์ทรงมีชัย แล้วประคองอัญชลี เมื่อจะสดุดีพระราชา จึงกล่าว
คาถากึ่งคาถาว่า.
เป็นการได้ลาภที่ดีของพระเจ้าชนก ที่
ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี.

คาถานั้นมีอรรถอธิบายว่า พระชนกพระองค์ใดทรงลืมพระนคร
แล้วได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิตผู้มีปัญญาดี คือมีปัญญาสูงสุด ด้วยพระเนตร
ที่น่ารักทุกขณะที่ทรงปรารถนาจะเห็น การได้ทอดพระเนตรเห็นทุก
ขณะที่ทรงพระประสงค์เหล่านั้น ของพระเจ้าชนกนั้น เป็นลาภที่
พระองศ์ทรงได้แล้วดีจริง ๆ คือบรรดาลาภทั้งหมดที่พระเจ้าชนกนั้นทรง
ได้แล้ว ลาภเหล่านั้นเท่านั้น. ชื่อว่าเป็นลาภที่ทรงได้มาดีแล้ว.
ก็แหละ ครั้นถวายสดุดีพระราชา แล้วพราหมณ์ได้หยิบเอาเงิน
700 กหาปณะออกมาจากไถ้ ประสงค์จะสดุดีพระมหาสัตว์ให้ความชื่น-
ชม จึงกล่าวคาถา 1 กับครั้งคาถาว่า :-
ท่านเป็นผู้เปิดเครื่องปิดบังออกได้หรือ
อย่างไร จึงเห็นของทุกอย่าง ข้าแต่ท่าน
พราหมณ์ ญาณของท่านเป็นญาณที่น่าพิศวงนัก

ทรัพย์เหล่านี้ของข้าพเจ้ามีอยู่ 700 กหาปณะ
ขอท่านจงรับเอาทั้งหมดเถิด ข้าพเจ้าขอมอบ
ให้ท่าน เพราะว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้ชีวิตไว้ เพราะ
ท่าน อีกโสดหนึ่ง ท่านก็ได้ทำความสวัสดี
ให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวฏฺฏจฺฉโท นุ สิ สพฺพทสฺสี
ความว่า พราหมณ์ถามด้วยอำนาจการสดุดีว่า ท่านเป็นสัพพัญญูพุทธ-
เจ้าผู้ทรงเปิดเครื่องปกปิดในอาการของธรรมทุกอย่าง คือทรงเป็นผู้มี
ธรรมที่ควรรู้ อันเปิดเผยแล้วหรืออย่างไร บทว่า ญาณํ นุ เต
พฺราหมฺมณ ภึสรูปํ
ความว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เมื่อท่านเป็นผู้รู้
ทุกสิ่ง ญาณของท่านเป็นญาณที่พิลึกเหลือเกิน คือมีกำลังเหมือน
สัพพัญญุตญาณ. บทว่า ตยา หิ เม ความว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้ชีวิต
มา เพราะท่านให้. บทว่า อโถปิ ภริยายมกาสิ โสตฺถึ ความว่า
อีกโสดหนึ่ง ท่านเองก็ได้ทำความสวัสดีแก่ภรรยาของผม. พราหมณ์
นั้น ครั้นพูดอย่างนี้แล้ว ก็อ้อนวอนพระโพธิสัตว์แล้วอ้อนวอนอีกว่า
ถ้าหากมีทรัพย์แสนหนึ่งไซร้ ข้าพเจ้าก็ต้องให้ทีเดียว. แต่ทรัพย์ของ
ข้าพเจ้ามีเพียงเท่านี้เท่านั้น ขอท่านจงรับทรัพย์ 700 กหาปณะเหล่านี้
เถิด.

พระโพธิสัตว์ ครั้นได้ยินคำนั้น แล้วจึงกล่าวคาถาที่ 8 ว่า :-
บัณฑิตทั้งหลายจะไม่รับค่าจ้าง เพราะ
คาถาทั้งหลายที่ไพเราะที่ตนกล่าวดีแล้ว ดูก่อน
พราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านได้แต่
เพียงนี้ วางใกล้เท้า แล้วจงรับเอาไปยังที่อยู่
ของตนเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวตฺตนํ ได้แก่ สินจ้าง. อีก
อย่างหนึ่ง ปาฐะก็เป็น เวตนํ นี้เหมือนกัน. บทว่า อิโตปิ เต พฺราหฺมณ
ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านแต่แทบเท้าของเรา.
บทว่า วิตฺตํ อาทาย ตฺวํ คจฺฉ มีเนื้อความว่า ท่านจงถือเอาทรัพย์
จำนวนอื่นอีก 300 กหาปณะจากทรัพย์จำนวน 700 นี้ รวมเป็น
1,000 กหาปณะ แล้วไปที่อยู่ของตนเถิด.
ก็แหละ พระมหาสัตว์ครั้นพูดอย่างนี้ แล้วก็ให้กหาปณะแก่
พราหมณ์เต็มพันแล้วถามว่า พราหมณ์ ใครส่งท่านมาหาขอทรัพย์ ?
พ. ภรรยาของผม ท่านบัณฑิต.
ม. ก็ภรรยาของท่าน แก่หรือสาว ?
พ. สาว ท่านบัณฑิต.
ม. ถ้าอย่างนั้น เขาคงประพฤติอนาจารกับชายอื่น จึงส่งท่าน

ไป ด้วยหมายใจว่า จักได้ประพฤติอนาจารปลอดภัย พระมหาสัตว์
บอกว่า ถ้าหากท่านนำกหาปณะเหล่านี้ไปถึงเรือนแล้วไซร้ นางจักให้
กหาปณะที่ท่านได้มาด้วยความลำบากแก่ชู้ของตน. เพราะฉะนั้น ท่าน
อย่าตรงไปบ้านทีเดียว ควรเก็บกหาปณะไว้ที่ควงไม้หรือที่ใดที่หนึ่งนอก
บ้าน แล้วจึงเข้าไป ดังนี้ แล้วจึงส่งเขาไป. พราหมณ์นั้นไปใกล้บ้าน
แล้วเก็บกหาปณะไว้ใต้ควงไม้ต้นหนึ่ง แล้วจึงได้ไปบ้านในเวลาเย็น.
ขณะนั้น ภรรยาของเขาได้นั่งอยู่กับชายชู้. พราหมณ์ยืนที่ประตู แล้ว
กล่าวว่า น้องนาง. นางจำเสียงเขาได้จึงดับไฟปิดประตู เมื่อพราหมณ์
เข้าข้างใน แล้วจึงนำชู้ออกไป ให้ยืนอยู่ริมประตู แล้วก็เข้าบ้าน ไม่
เห็นอะไรในไถ้ จึงถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านไปเที่ยวขอได้อะไรมา.
พ. ได้กหาปณะพันหนึ่ง.
ภ. เก็บไว้ที่ไหน ?
พ. เก็บไว้ที่โน้น พรุ่งนี้เช้าจึงจักเอามา อย่าคิดเลย.
นางไปบอกชายชู้. เขาจึงออกไปหยิบเอาเหมือนของที่ตนเก็บไว้
เอง. ในวันรุ่งขึ้นพราหมณ์ไปแล้วไม่เห็นกหาปณะ จึงไปหาพระโพธิ-
สัตว์ เมื่อถูกถามว่า เรื่องอะไร พราหมณ์ ? จึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เห็น
กหาปณะ ท่านบัณฑิต.
ม. ก็ท่านบอกภรรยาของท่านละสิ.
พ. ถูกแล้ว ท่านบัณฑิต.

พระมหาสัตว์ก็รู้ว่า นางนั้นบอกชายชู้จึงถามว่า ดูก่อนพราหมณ์
ก็ภรรยาของท่าน มีพราหมณ์ประจำตระกูลไหม ?
พ. มี ท่านบัณฑิต.
ม. ฝ่ายท่านล่ะ มีไหม.
พ. มี ท่านบัณฑิต.
จึงพระมหาสัตว์ได้ให้พราหมณ์ถวายเสบียงอาหารแก่พราหมณ์
ประจำตระกูลนั้น เป็นเวลา 7 วัน แล้วบอกว่า ไปเถิดท่าน วันแรก
จงเชื้อเชิญพราหมณ์มารับประทาน 14 คน คือ ฝ่ายท่าน 7 คน
ฝ่ายภรรยา 7 คน ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ให้ลดลงวันละ 1 คน
ในวันที่ 7 จึงเชื้อเชิญ 2 คน คือ ฝ่ายท่าน 1 คน ฝ่ายภรรยาของ
ท่าน 1 คน จงรู้ไว้ จำไว้ว่า พราหมณ์คนที่ภรรยาของท่าน เชื้อเชิญ
มาตลอด 7 วัน มาเป็นประจำ แล้วบอกข้าพเจ้า. พราหมณ์ทำตามนั้น
แล้วจึงบอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้ากำหนด
พราหมณ์ผู้มารับประทานเป็นนิจไว้แล้ว. พระโพธิสัตว์ส่งบุรุษไปกับ
พราหมณ์นั้น ให้นำพราหมณ์คนนั้นมา แล้วถามว่า ท่านเอากหาปณะ
พันหนึ่งที่เป็นของพราหมณ์คนนี้ไปจากควงไม้ต้นโน้นหรือ ? พราหมณ์
คนนั้นปฏิเสธว่า ผมไม่ได้เอาไป ท่านบัณฑิต. พระโพธิสัตว์บอกว่า
ท่านไม่รู้จักว่าเราเป็นเสนกบัณฑิต. เราจักให้ท่านนำกหาปณะมาคืน.
เขากลัว จึงรับว่า ผมเอาไป.

ม. ท่านเอาไปเก็บไว้ที่ไหน.
พ. เก็บไว้ ณ ที่นั้นนั่นเอง ท่านบัณฑิต.
พระโพธิสัตว์ จึงถามพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า พราหมณ์ หญิง
คนนั้นนั่นเอง เป็นภรรยาของท่านหรือ ? หรือจักรับเอาคนอื่น
พ. เขานั่นแหละเป็นของผม ท่านบัณฑิต.
พระโพธิสัตว์ส่งคนไป ให้นำกหาปณะของพราหมณ์และนาง
พราหมณีมา แล้วบังคับให้รับกหาปณะจากมือของพราหมณ์ผู้เป็นโจรแก่
พราหมณ์ ให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณ์ผู้เป็นโจร เนรเทศออก
จากพระนครไป และให้ลงพระราชอาชญาแก่พราหมณี ให้ยศใหญ่
แก่พราหมณ์ แล้วให้อยู่ในสำนักของตนนั่นเอง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม คน
จำนวนมากได้ทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล. พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้แก่
พระอานนท์ ในบัดนี้ รุกขเทวดา ได้แก่ พระสารีบุตร บริษัท ได้แก่
พุทธบริษัท ส่วนเสนกบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคตฉะนี้แล
จบ อรรถกถาเสนกชาดกที่ 7

8. อัฏฐิเสนชาดก



ว่าด้วยการขอ



[1021] ข้าแต่ท่านอัฏฐิเสนะ พวกวณิพกทั้งหลาย
ที่โยมไม่รู้จัก พากันมาหาโยมแล้ว ขอสิ่งที่
ต้องการกัน แต่เหตุไฉน พระคุณเจ้าจึงไม่
ขออะไรกะโยม.
[1022] เพราะผู้ขอ ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ให้
ส่วนผู้ให้ เมื่อไม่ให้สิ่งที่เขาขอ ก็ไม่เป็นที่รัก
ของผู้ขอ เพราะฉะนั้นอาตมภาพ จึงไม่ขอ
อะไรกะมหาบพิตร.
[1023] ก็ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยการขอ แต่ไม่ขอสิ่ง
ที่ควรขอในเวลาที่ควรขอ ผู้นั้นย่อมขจัดผู้อื่น
จากบุญด้วย ทั้งตนเองก็เลี้ยงชีพอยู่ไม่ได้ด้วย.
[1024] ส่วนผู้ใด เลี้ยงชีพด้วยการขอ ขอสิ่งที่
ควรขอ ทั้งขอในเวลาที่ควรขอ ผู้นั้นย่อมให้ผู้
อื่นได้บุญด้วย ทั้งตนเองก็เลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วย.